วันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ประมุขของประเทศในระบอบประชาธิปไตย

ประมุขของประเทศในระบอบประชาธิปไตย

 มีรูปแบบสำคัญ 2 แบบ คือ

1) พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและประธานาธิบดีเป้นประมุข
2) ประมุขจะใช้ใช้อำนาจตามที่รัฐกำหนดไว้
...โดยประเทศที่มีพระมหากษัตริยืทรงเป็นประมุข พระองคืจะทรงใช้อำนาจไตยผ่านสถาบันการปกครอง ได้แก่ รัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล โดยที่นายรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาลหรือฝ่ายบริหาร เช่น สหราชอาณาจักรไทย ไทย นอร์เวย์ สวีเดน เป็นต้น
การใช้อำนาจประชาธิปไตย
การปกครองระบอบการปกครอง ทรงเป็นประมุข พระมหากษัตริย์มิได้เป็นหัวหน้ารัฐบาล
1) การใช้อำนาจนิติบัญญัติทางรัฐสภา รัฐสภามีโครงสร้าง 2 แบบ คือ
(1.1) อำนาจที่ของรัฐสภา
(1.2) อำนาจหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎร์และวุฒิสภา
2) การใช้อำนาจบริหารทางคณะรัฐมนตรี
(2.1) อำนาจหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีในการบริหารประเทศ
(2.2) อำนาจหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีในการบริหารราชการแผ่นดิน
3) การใช้อำนาจตุลาการทางศาล
(3.1) ศาลรัฐธรรมนูญ
(3.2) ศาลยุตติธรรม
(3.3) ศาลปกครอง
(3.4) ศาลทหาร

วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

2. รูปแบบของรัฐ รูปแบบของรัฐแบ่งได้เป็น 2 รูปแบบได้แก่
1) เอกรัฐหรือรัฐเดี่ยว (unitary State or Single State) หมายถึง รัฐที่มีรัฐบาลกลางเพียงรัฐเดียว ใช้อำนาจอธิปไตยปกครองดินแดนทั้งหมด อาจมีการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นได้บริหารกิจการของ ท้องถิ่นได้ตามที่รัฐบาลเห็นสมควร
2) สหพันธรัฐหรือรัฐรวม (Federal State or Dual State) หมายถึง รัฐที่มีรัฐบาลสองระดับ คือ รัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นของแต่ละมลรัฐ รัฐบาลแต่ละระดับจะใช้อำนาจอธิปไตยปกครองตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ โดยทั้วไปรัฐบาลกลางของสหพันธรัฐมักจะเป็นผู้ใช้อำนาจในกิจการที่เกี่ยวข้องหรือกระทบกระเทือนต่อประโยชน์ส่วนรวมของชาติ

วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

                                            การคัดเลือกพันธุ์

ในการพัฒนาศักยภาพการผลิตของโคนมให้ดีขึ้นทางพันธุกรรมหรือการปรับปรุงพันธุ์ เกษตรกรจำเป็นต้อง คัดเลือก โคที่มีความสามารถทางพันธุกรรม สำหรับลักษณะที่ตนเองสนใจ สูงมาใช้เป็นพ่อและแม่พันธุ์สำหรับการผลิตโคนมรุ่นลูกเพื่อใช้ประโยชน์ในระบบการผลิตทดแทนโครุ่นพ่อแม่ ในการดำเนินการดังกล่าวถ้าสามารถคัดเลือกโคนมได้อย่างแม่นยำ กล่าวคือโคตัวที่ถูกคัดเลือกนั้นมีความสามารถทางพันธุกรรมสำหรับลักษณะที่สนใจดีจริง (ไม่ใช่ดีเพียงแต่ลักษณะที่เห็นภายนอก) ผลที่จะได้รับก็คือ โครุ่นลูกที่อยู่ในฟาร์มมีความสามารถทางพันธุกรรม (สำหรับลักษณะที่ใช้ในการคัดเลือก) โดยเฉลี่ยดีขึ้น และเมื่อความสามารถทางพันธุกรรมของโคนมที่เลี้ยงดีขึ้น ความสามารถในการให้ผลผลิตตอบสนองต่อปัจจัยการผลิตที่จัดทำให้ (หรือต้นทุนการผลิต)ก็จะเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เกิดขึ้นในการพัฒนาศักยภาพการผลิตของโคนมในปัจจุบันของเกษตรกรไทยส่วนใหญ่ยังคงมีความสัมพันธ์กับ ความแม่นยำของการคัดเลือก ซึ่งวัดได้จากการพิจารณาความสามารถในการแสดงออกซึ่งลักษณะที่สนใจใน โครุ่นลูกเปรียบเทียบกับโคพ่อและแม่พันธุ์ถ้าหากลูกโคที่ได้โดยเฉลี่ยมีศักยภาพในการแสดงออกซึ่งลักษณะที่เราสนใจดีกว่าโครุ่นพ่อแม่แสดงว่าการคัดเลือกพ่อและแม่พันธุ์นั้นมีความแม่นยำสูงแต่ไม่เป็นเช่นนั้นโคพ่อและแม่พันธุ์ที่คัดเลือกไว้ให้ลูกโคทดแทนออกมาโดยเฉลี่ยมีความสามารถในการแสดงออกซึ่งลักษณะที่สนใจไม่ดีนักหรือดูแล้วด้อยกว่าพ่อและแม่เช่นนี้อาจกล่าวได้ว่าการคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ดังกล่าวมีความแม่นยำต่ำ   การพิจารณาคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์โคนมจาก ความสามารถทางพันธุกรรม หรือ คุณค่าการผสมพันธุ์ที่ประมาณค่าได้ (EBV; Estimated Breeding Value) จากข้อมูลของลูกที่เกิดและให้ผลผลิตหรือแสดงลักษณะที่สนใจออกมาภายใต้สิ่งแวดล้อมของประเทศไทย เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้เกษตรกรสามารถคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์โคนม เพื่อใช้ในการพัฒนาศักยภาพทางพันธุกรรมสำหรับลักษณะที่ตนสนใจได้อย่างแม่นยำ เนื่องจากค่า EBV เป็นค่าที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถทางพันธุกรรมที่โคตัวนั้นๆ มีอยู่และสามารถ ถ่ายทอด ไปให้ลูกของมันได้ ดังนั้นการทำความเข้าใจถึงคุณลักษณะและการใช้ประโยชน์จากค่า EBVนอกจากจะช่วยให้เกษตรกรสามารถคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์โคนมเพื่อใช้ในการพัฒนาศักยภาพทางพันธุกรรมสำหรับลักษณะที่ตนสนใจได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้วยังช่วยลดความเสี่ยงในการตัดสินใจเลือกใช้พ่อแม่พันธุ์โคนมที่ผิดพลาดด้วยเช่นกันความสามารถทางพันธุกรรม หรือ คุณค่าการผสมพันธุ์ (EBV) สำหรับลักษณะที่สนใจของสัตว์แต่ละตัวในประชากร มีลักษณะและคุณสมบัติดังนี้          
  • คุณค่าการผสมพันธุ์ (EBV) สำหรับลักษณะใดๆ ของสัตว์แต่ละตัวที่ถูกพิจารณาในประชากร มีลักษณะเป็น ความสามารถทางพันธุกรรม ที่ถูก ทำนาย ขึ้นจากข้อมูล ความสามารถที่แสดงออกให้เห็นภายนอก ของ โคนมตัวที่ถูกพิจารณา และ เครือญาติทั้งหมดของพวกมัน ในประชากร          
  • คุณค่าการผสมพันธุ์ (EBV) ถูกรายงาน เป็น ค่าบวก (+)และ ค่าลบ (–) ซึ่งมีหน่วยเดียวกันกับลักษณะที่พิจารณา ค่าดังกล่าวมีลักษณะเบี่ยงเบน (deviate) ไปจากค่าเฉลี่ย ของความสามารถในการแสดงออกซึ่งลักษณะนั้นๆ โดยรวมของโคนมทุกตัวที่ถูกพิจารณา เช่น ในประชากร (ฝูง) โคแห่งหนึ่ง พ่อพันธุ์ชื่อ แฟรงค์ มีคุณค่าการผสมพันธุ์ ปริมาณน้ำนมที่ 305 วัน เท่ากับ +550 กิโลกรัม หมายความว่า พ่อพันธุ์ชื่อ แฟรงค์ มีความสามารถทางพันธุกรรม สูงกว่า ค่าเฉลี่ยของประชากรที่ แฟรงค์ เป็นสมาชิกอยู่ ประมาณ 550 กิโลกรัม เป็นต้น          
  • คุณค่าการผสมพันธุ์ มักถูกรายงานออกมาพร้อมๆ กับค่าที่สื่อให้เห็นถึง ความแม่นยำ (Accuracy)หรือ ความน่าเชื่อถือ (Reliability)ของคุณค่าการผสมพันธุ์เอง ซึ่งค่าดังกล่าวแสดงเป็นค่าที่แสดงให้เห็นถึง ระดับความผันแปรของพันธุกรรมที่จะแสดงออก เมื่อนำสัตว์ตัวนั้นไปใช้เป็นพ่อหรือแม่พันธุ์”กล่าวคือ ถ้าหากความแม่นยำหรือความน่าเชื่อถือมีค่าสูง ความผันแปรทางพันธุกรรมที่จะแสดงออก เมื่อนำสัตว์ตัวนั้นไปใช้เป็นพ่อหรือแม่พันธุ์ก็จะมีค่าต่ำ ในทางกลับกัน หากความแม่นยำหรือความน่าเชื่อถือมีค่าต่ำ ความผันแปรทางพันธุกรรมที่จะแสดงออก เมื่อนำสัตว์ตัวนั้นไปใช้เป็นพ่อหรือแม่พันธุ์ก็จะมีค่าสูง          
  • คุณค่าการผสมพันธุ์ มักถูกนำมาใช้ประโยชน์ใน การเปรียบเทียบ (comparison) หรือ จัดลำดับ (Ranking) ความสามารถทางพันธุกรรม ระหว่างสัตว์พ่อแม่พันธุ์แต่ละตัวที่ปรากฏในประชากร ด้วย เหตุนี้ เราจึงทราบ สถานภาพความดีหรือด้อยของสัตว์แต่ละในประชากร การพิจารณาคัดเลือกสัตว์แต่ละตัวในประชา กร จากความดีเด่นของพวกมันจึงสามารถทำได้ง่ายและชัดเจน          
  • คุณค่าการผสมพันธุ์ สำหรับลักษณะใดๆ สามารถผันแปรไปตาม 1) ลักษณะและโครงสร้างของประชากร 2) ความสามารถในการแสดงออกของสัตว์แต่ละตัว (ทุกตัว) ที่เป็นเครือญาติ และ 3) แบบหุ่นจำลองทางพันธุกรรมที่ใช้ในการประเมิน ดังนั้นคุณค่าการผสมพันธุ์ สำหรับลักษณะใดๆ ของสัตว์แต่ละตัว ในแต่ละประชากรจึงความจำเพาะ ด้วยเหตุนี้ การนำคุณค่าการผสมพันธุ์ของสัตว์แต่ละตัวที่อยู่ต่างประชากร (ต่างชุดข้อมูลที่นำมาวิเคราะห์) กันจึงไม่สามารถทำได้          
  •  ในบางครั้ง คุณค่าการผสมพันธุ์ สำหรับลักษณะใดๆ ของสัตว์แต่ละตัวอาจถูกปรับค่าให้อยู่ในรูปแบบมาตรฐาน (standardization; Z-score) เพื่อให้สะดวกในการเปรียบเทียบความดีเด่นของลักษณะต่างๆ ของสัตว์ตัวที่พิจาณา
คุณค่าการผสมพันธุ์ของโคพ่อพันธุ์แต่ละตัวที่มาจากหน่วยงานองค์กรหรือประเทศต่างๆล้วนเป็นค่าที่แสดงถึงความสามารถทางพันธุกรรมของพ่อพันธุ์ที่ถ่ายทอดไปยังสัตว์รุ่นลูกที่ถูกเลี้ยงดูภายใต้สภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้นภายในประชากรสัตว์ที่หน่วยงานองค์กรหรือประเทศนำมาพิจารณาดังนั้นค่าเหล่านี้จึงไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบข้ามหน่วยงานองค์กรหรือประเทศได้เว้นเสียแต่ข้อมูลที่หน่วยงานองค์กรหรือประเทศนั้นๆถูกนำมารวมกันและพิจารณาร่วมกันนอกจากนี้คุณค่าการผสมพันธุ์ที่ได้จากการวิเคราะห์ในแต่ละครั้งหรือในแต่ละปีนั้นไม่จำเป็นต้องมีค่าเท่าเดิมและมีค่าทั้งที่เป็นบวกและลบแตกต่างกันไปเมื่อเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของประชากรในขณะนั้นทั้งนี้เพราะขนาดและโครงสร้างของประชาการที่หน่วยงานองค์กรหรือประเทศนำมาพิจารณาในแต่ละปีนั้นไม่เหมือนกันส่วนค่าความเชื่อมั่นและความแม่นยำนั้นแสดงถึงความน่าจะเป็นในการได้มาซึ่งค่าเหล่านั้นอีกเมื่อนำสัตว์ตัวนั้นไปใช้เป็นพ่อแม่พันธุ์สำหรับผลิตสัตว์รุ่นต่อไปค่าดังกล่าวมีความผันแปรขึ้นอยู่กับจำนวนและความนิ่งของการแสดงออกซึ่งลักษณะที่สนใจในสัตว์ทุกตัวที่เป็นเครือญาติของสัตว์ที่พิจารณา คุณค่าการผสมพันธุ์และความแม่นยำหรือความน่าเชื่อถือในคุณค่าการผสมพันธุ์ล้วนมีประโยชน์อย่างมากต่อการคัดเลือกสัตว์พ่อแม่พันธุ์เนื่องจากข้อมูลดังกล่าวจัดเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงในการคัดเลือกสัตว์สำหรับใช้ประโยชน์ในการปรับปรุงพันธุ์และยังให้ผลลัพธ์ได้ดีกว่าการคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ที่พิจารณาแต่เพียงปริมาณการให้ผลผลิตภายนอก


 ตัวอย่างการใช้ประโยชน์จากค่าทำนายคุณค่าการผสมพันธุ์

 สมมติว่าเราสนใจในพ่อพันธุ์ชื่อฟิก(Fix) หมายเลข2232 พ่อพันธุ์ตัวนี้มีค่าการผสมพันธุ์สำหรับการให้ผลผลิตน้ำนมที่305 วันเท่ากับ+306.81 กิโลกรัมค่าการผสมพันธุ์นี้แสดงถึงความสามารถทางพันธุกรรมของฟิกในลักษณะน้ำนม305 วันที่มีค่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยของฝูง (สำหรับลักษณะการให้ผลผลิตน้ำนมที่ 305 วัน) เท่ากับ306.81 กิโลกรัมด้วยสัตว์พ่อแม่พันธุ์จะสามารถถ่ายทอดพันธุกรรมของตนไปสู่ลูกโดยเฉลี่ยเพียงครึ่งหนึ่ง ดังนั้น ลูกที่เกิดขึ้นจากพ่อพันธุ์ชื่อฟิกนั้นโดยเฉลี่ยแล้วจะมีความสามารถทางพันธุกรรมที่ได้รับจากพ่อพันธุ์153.41 กิโลกรัม (306.81 / 2 = 153.41) ซึ่งในความเป็นจริงลูกโคนมที่เกิดขึ้นจากฟิกก็จะมีทั้งที่มีความสามารถทางพันธุกรรมที่ได้รับจากพ่อพันธุ์น้อยกว่าและมากกว่า153.41 กิโลกรัมส่วนจะน้อยกว่าหรือมากกว่ามากน้อยเท่าไรนั้นเราสามารถประมาณค่าได้จากค่าความแม่นยำที่คำนวณได้ถ้าหากค่าความแม่นยำของลักษณะนั้นมีค่ามากก็หมายความว่าลูกโคที่เกิดขึ้นจะมีความสามารถทางพันธุกรรมที่ได้รับจากพ่อพันธุ์ใกล้เคียง153.41 กิโลกรัมทั้งทางบวกและลบแต่ถ้าค่าความแม่นยำที่คำนวณได้ที่มีน้อยก็หมายความว่าลูกโคที่เกิดขึ้นจะต่างจาก153.41กิโลกรัมมากทั้งทางบวกและลบเช่นกันดังนั้นเมื่อเราเรียงลำดับค่าการผสมพันธุ์แล้วเราจึงจำเป็นต้องพิจารณาค่าความแม่นยำประกอบด้วยเพราะถ้าหากพิจารณาเพียงเฉพาะค่าการผสมพันธุ์ที่สูงเพียงอย่างเดียวแต่ความแม่นยำของค่าการผสมพันธุ์นั้นมีค่าต่ำมากเราก็อาจจะได้ลูกที่มีความสามารถทางพันธุกรรมที่ไม่เป็นไปตามที่คาดหวั้อย่างไรก็ตามถ้าค่าความแม่นยำอยู่ในระดับปานกลางแต่ค่าการผสมพันธุ์นั้นอยู่ในระดับที่เราพึงพอใจเราอาจพิจารณาพันธุ์ประวัติของพ่อพันธุ์ตัวนั้นย้อนกลับไปหรือรอดูผลการวิเคราะห์ค่าการผสมพันธุ์ครั้งต่อไปก่อนการคัดสินใจเลือกเพื่อเพิ่มความมั่นใจก็ได้นอกจากนี้แล้วเกษตรกรยังอาจจำเป็นต้องพิจารณาราคาน้ำเชื้อพ่อพันธุ์ประกอบการตัดสินใจด้วยเช่นกัน   
ด้วยประเทศไทยเป็นประเทศในเขตร้อนชื้นพืชอาหารสัตว์มีลักษณะแตกต่างจากประเทศในเขตหนาวและอบอุ่นและมาตรฐานรวมทั่งรูปแบบในการจัดการฟาร์มก็ยังมีความแตกต่างจากประเทศต่างๆหลายประเทศ ดังนั้นการพิจารณาเลือกพ่อพันธุ์เพื่อการผสมเทียม นอกจากจะพิจารณาที่ข้อมูลทางพันธุกรรมที่นำเสนอในแคตาล็อกแล้ว การพิจารณาถึงแหล่งที่มาของพ่อพันธุ์เหล่านั้นหรือสิ่งแวดล้อมที่พ่อพันธุ์เหล่านั้นถูกนำไปใช้ประโยชน์ก่อนการพิจารณาประเมินความสามารถทางพันธุกรรรมยังมีส่วนสำคัญในการช่วยลดความเสี่ยงในการตัดสินใจที่ผิดพลาดได้เช่นกัน


ข้อแนะนำในการพิจารณาเลือกใช้น้ำเชื้อพันธุ์เพื่อการปรับปรุงพันธุ์ 
      
  • มดีเด่นในด้านต่างๆของแม่พันธุ์ที่ตนเองมีหรือที่จะนำน้ำเชื้อพันธุ์ของพ่อพันธุ์ที่กำลังจะคัดเลือกมาใช้ประโยชน์ ให้มากที่สุดเสียก่อน (ดูว่าปัญหาที่ต้องการแก้โดยพันธุกรรมมีเรื่องใดบ้าง และลำดับความสำคัญของปัญหาต่างๆ เป็นอย่างไร)          
  • เกษตรกรควรใช้ประโยชน์จากข้อมูล และประสบการณ์ที่มีทั้งหมดในการคัดเลือกพ่อพันธุ์ โคนมแต่ละครั้ง และไม่ควรใช้ความรู้สึกในการตัดสินใจ          
  • เกษตรกรควรพยายามพิจารณาคัดเลือกพ่อพันธุ์ที่มีข้อมูลการแสดงออก ซึ่งลักษณะที่สนใจในลูกหรือมีก่อนการพิจารณาเลือกใช้น้ำเชื้อพันธุ์เพื่อการผสมเทียม เกษตรกรควรพิจารณาลักษณะและควาคุณค่าการผสมพันธุ์ สำหรับลักษณะต่างๆ ที่สนใจในประเทศไทยก่อน หากต้องการเลือกใช้น้ำเชื้อพ่อพันธุ์จากประเทศ ให้พิจารณาพ่อพันธุ์จากต่างประเทศที่มีลักษณะสภาพแวดล้อม หรือ สภาพการจัดการฟาร์มใกล้เคียงกับของฟาร์มของตนเองมากที่สุดก่อน และต้องพึงระลึกเสมอว่าน้ำเชื้อพ่อพันธุ์ต่างประเทศที่มีราคาแพง ไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะทำให้เกษตรกร ได้ลูกโคนมที่มีความสามารถดีเด่นสมราคา เมื่อนำมาใช้จริงภายในสภาพแวดล้อมของประเทศไทย การได้มาซึ่งลูกที่มีลักษณะดังกล่าวยังขึ้นอยู่กับ พันธุกรรมของแม่พันธุ์และสภาพแวดล้อมและการจัดการฟาร์ม รวมถึงปัจจัยอื่นๆ ซึ่งอาจมีลักษณะแตกต่างไปจากแหล่งที่มาทางพันธุกรรมของพ่อพันธุ์          
  • เกษตรกรควรพิจารณาคัดเลือกพ่อพันธุ์โคนมที่ ความสามารถของพ่อพันธุ์แต่ละตัว อย่าพิจารณาเฉพาะ พันธุ์หรือกลุ่มพันธุ์ เพราะถึงแม้ว่าจะเป็นพ่อที่มาจากพันธุ์เดียวกันหรือมีสายเลือดระดับเดียวกันพ่อพันธุ์เหล่านั้นก็ยังคงมี ความสามารถทางพันธุกรรมที่แตกต่างกัน          
  • เกษตรกรควรบันทึกชื่อ พันธุ์ และสายเลือดของพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ รวมถึงวันที่ผสมพันธุ์ทุกครั้งเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาพ่อและแม่พันธุ์นั้นๆอีกในอนาคต และเพื่อเก็บบันทึกเป็นพันธุ์ประวัติให้กับสัตว์รุ่นลูกที่เกิดใหม่        
  • เกษตรกรควรพยายามใช้พ่อพันธุ์อย่างน้อย 2 ตัว ในการผสมพันธุ์กับแม่พันธุ์ต่างๆ ในฟาร์มในแต่ละช่วงฤดูกาลในแต่ละปีและไม่ควรเปลี่ยนพ่อพันธุ์ยกชุดในแต่ละฤดูกาลแต่ควรคงใช้ประโยชน์จากพ่อพันธุ์เดิมไว้อย่างน้อย 1 ตัว        
  •  พ่อพันธุ์แต่ละตัวควรถูกนำมาใช้ประโยชน์เพื่อการผสมพันธุ์ในฟาร์มอย่างน้อยสองฤดูกาล ติดต่อกัน          
  • การแสดงออกในลักษณะต่างๆ (การเจริญเติบโต การให้ผลผลิต ประสิทธิภาพการสืบพันธุ์) ของลูกของพ่อและแม่พันธุ์ที่ใช้ มีประโยชน์ต่อการพิจารณาว่าจะเลือกใช้พ่อแม่พันธุ์ตัวเดิมอีกหรือไม่ ดังนั้นเกษตรกรจึงควรให้ความสำคัญและทำการจดบันทึกข้อมูลเหล่านั้นพร้อมพันธุ์ประวัติไว้เพื่อการพิจารณาในด้านต่างๆ สำหรับการพัฒนาศักยภาพการผลิตภายในฟาร์มของเกษตรกรเอง          

วันอังคารที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2556

ส่วนประกอบของโปรแกรม Microsoft Word 2010 

โปรแกรม Microsoft Word 2010 มีรูปร่างหน้าตา และส่วนประกอบของโปรแกรมที่เหมือน และแตกต่างจาก Microsoft Word 2007 ดังภาพด้านล่างนี้
components-microsoft-word-2010
          1. แถบชื่อเรื่อง (Title Bar) = เป็นส่วนที่ใช้แสดงชื่อโปรแกรม และชื่อไฟล์ที่ได้เปิดขึ้นมา
          2. แถบเครื่องมือด่วน (Quick Access) = เป็นส่วนที่ใช้แสดงคำสั่งที่ใช้งานบ่อย
          3. ปุ่ม File (แฟ้ม) = เป็นส่วนที่ทำหน้าที่คล้ายกับปุ่ม Office ใน Microsoft Office 2007 คือ จัดเก็บคำสั่งที่ใช้ในการทำงานเอกสาร เช่น New Open Save และ Print เป็นต้น
          4. ปุ่มควบคุม = เป็นส่วนที่ใช้ควบคุมการเปิด หรือปิดหน้าต่างโปรแกรม
          5. ริบบอน (Ribbon) = เป็นส่วนที่ใช้แสดงรายการคำสั่งต่าง ๆ ที่ใช้ในการทำงานกับเอกสาร
          6. พื้นที่การทำงาน = เป็นส่วนที่ใช้ในการแสดงรายละเอียดต่าง ๆ ขึ้นภายในเอกสาร
          7. แถบสถานะ (Status Bar) = เป็นส่วนที่ใช้แสดงจำนวนหน้ากระดาษ และจำนานตัวอักษรที่ใช้ในเอกสารหลังจากที่เราพิมพ์งานแล้ว เราก็ย่อมมีการจัดเก็บเอกสารนั้นไว้สำหรับการใช้งานในครั้งต่อไปด้วย ซึ่งการบันทึกเอกสารนั้น ก็มีอยู่ด้วยกันหลายรูปแบบ ซึ่งเราต้องเลือกบันทึกเอกสารให้เหมาะกับการนำไปใช้งานด้วย

การเพิ่ม และลบไอคอนคำสั่งในแถบเครื่องมือด่วนใน Microsoft Word 2010 พิมพ์
          บนแถบเครื่องมือด่วนนั้น เมื่อเราเปิดขึ้นมาครั้งแรก โปรแกรมจะแสดงคำสั่งบางคำสั่งมาให้โดยอัตโนมัติ ซึ่งหากเราต้องการเพิ่ม หรือลบไอคอนคำสั่ง ก็สามารถทำได้ตามขึ้นตอนดังต่อไปนี้



การเพิ่มไอคอนคำสั่งในแถบเครื่องมือด่วน
        
 1. คลิกปุ่มลูกศรบนแถบเครื่องมือเร่งด่วน แล้วเลือกคำสั่งที่ต้องการ จากภาพจะลองเพิ่มปุ่ม อีเมล เข้ามา

1

          2. คำสั่งที่ได้เลือกก็จะแสดงขึ้นมาบนแถบเครื่องมือเร่งด่วน แล้วหล่ะครับง่ายมาก ๆ เลยเนอะ

2

การลบไอคอนคำสั่งในแถบเครื่องมือด่วน
          1. คลิกเมาส์ขวาไอคอนที่ต้องการลบ แล้วเลือกคำสั่ง เอาออกจากแถบเครื่องมือด่วน (Remove    from Quick Access)

3



การกำหนดระยะขอบกระดาษ พิมพ์
           การกำหนดระยะขอบกระดาษนั้น มีผลโดยตรงเมื่อสั่งพิมพ์หน้ากระดาษออกมา เนื่องจากระยะขอบกระดาษที่แคบจะไม่มีพื้นที่เหลือให้เข้าเล่มได้ ดังนั้นเราจึงควรมีการกำหนดระยะขอบกระดาษที่เหมาะสม ซึ่งการกำหนดระยะขอบกระดาษ สามารถทำได้ดังนี้

          1. คลิกแท็บ เค้าโครงหน้ากระดาษ (Page Layout)
          2. คลิกเลือก ระยะขอบ (Margin) แล้วเลือกระยะขอบที่ต้องการ

1

     
การบันทึกเอกสาร 
          หลังจากที่เราพิมพ์งานแล้ว เราก็ย่อมมีการจัดเก็บเอกสารนั้นไว้สำหรับการใช้งานในครั้งต่อไปด้วย ซึ่งการบันทึกเอกสารนั้น ก็มีอยู่ด้วยกันหลายรูปแบบ ซึ่งเราต้องเลือกบันทึกเอกสารให้เหมาะกับการนำไปใช้งานด้วย

          การบันทึกเอกสารใหม่
          1. คลิกปุ่ม แฟ้ม (File) > บันทึก (Save)
1

          2. เลือกสถานที่จัดเก็บไฟล์เอกสาร
          3. กำหนดชื่อไฟล์เอกสาร
          4. คลิกปุ่ม บันทึก (Save)
2

          การบันทึกเอกสารแบบสำเนา
          การบันทึกเอกสารแบบสำเนา เป็นการบันทึกไฟล์เอกสารเพื่อป้องกันกรณีฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้น                   เช่น การเปิดไฟล์เอกสาร หรือไฟล์สุญหาย เป็นต้น ซึ่งการบันทึกไฟล์ลักษณะนี้ทำได้โดย
          1. คลิกปุ่ม แฟ้ม (File) > บันทึกเป็น (Save As)
3

          2. เลือกสถานที่จัดเก็บไฟล์เอกสาร
          3. กำหนดชื่อไฟล์เอกสาร
          4. คลิกปุ่ม บันทึก (Save)
2
การบันทึกเอกสารให้ใช้ได้กับ Word 97-2003 ใน Word 2010   
          การบันทึกเอกสารแบบ Word 97-2003 นั้นเป็นการบันทึกไฟล์เอกสารเพื่อนำไปเปิดในโปรแกรม Microsoft Word เวอร์ชัน 97-2003 ซึ่งการบันทึกไฟล์ในลักษณะนี้ ทำได้ดังนี้

          1. คลิกปุ่ม แฟ้ม (File) > บันทึกเป็น (Save As)
3

          2. เลือกสถานที่จัดเก็บไฟล์เอกสาร
          3. กำหนดชื่อไฟล์เอกสาร
          4. กำหนดชนิดของไฟล์ให้เป็น Word 97-2003 Document
1
การกำหนดรูปแบบตัวอักษร ใน Word 2010 พิมพ์
          ในการสร้างเอกสารขึ้นมาแล้ว หลังจากที่ป้อนข้อมูลต่าง ๆ ลงไปแล้ว เพื่อให้เอกสารมีความสวยงาม และสมบูรณ์มากขึ้น ก็ควรจะมีการกำหนดรูปแบบของเอกสารให้ตรงกับความต้องการในการนำไปใช้งาน

 การกำหนดรูปแบบตัวอักษร ก่อนการพิมพ์
          การกำหนดรูปแบบตัวอักษรในเอกสารนั้น สามารถทำได้ทั้งก่อน และหลังพิมพ์ข้อความ ซึ่งแต่ละลักษณะมีดังนี้
          1. คลิกเมาส์วางเคอร์เซอร์เพื่อเริ่มการพิมพ์
          2. คลิกแท็บ หน้าแรก (Home)
1

          3. เลือกรูปแบบตัวอักษรที่ต้องการ
2

          4. เมื่อพิมพ์ข้อความขึ้นมา รูปแบบตัวอักษรก็จะปรากฏเป็นไปตามที่กำหนด
3

การกำหนดรูปแบบตัวอักษร หลังการพิมพ์
          1. คลิกเมาส์ซ้ายเลือกข้อความที่ต้องการเปลี่ยนรูปแบบตัวอัก
          2. คลิกแท็บ หน้าแรก (Home)
          3. เลือกรูปแบบตัวอักษรที่่ต้องการ
4

          4. ข้อความจะถูกปรับเปลี่ยนรูปแบบตัวอักษรตามที่เลือก
5
การใส่ลักษณะพิเศษให้ภาพใน word 2010 พิมพ์
          การเพิ่มลักษณะพิเศษต่าง ๆ ให้ภาพ ทำได้ง่ายๆ ดังนี้

วิธีการใส่ลักษณะพิเศษให้ภาพ
          1. คลิกเลือกภาพที่ต้องการใส่ลักษณะพิเศษ
          2. คลิกแท็บ รูปแบบ (Format)

1

          3. คลิกเลือก ลักษณะพิเศษแนวศิลป์ (Artistic Effect) แล้วเลือกลักษณะที่จะใส่ลงไปในภาพ

2

          4. ภาพจะถูกใส่ลักษณะพิเศษตามที่เลือก

3

การจัดรูปแบบรูปภาพและข้อความใน Word 2010 พิมพ์
          หากต้องการจัดวางรูปภาพลงไปในเอกสารที่มีข้อความเป็นส่วนประกอบสำคัญ ก็สามารถจัดรูปแบบข้อความ และรูปภาพนั้นให้สวยงามได้ โดยมีขั้นตอนดังต่อไปนี้


วิธีการจัดรูปแบบรูปภาพและข้อความ
          1. คลิกเลือกภาพที่ต้องการ
          2. คลิกเลือก รูปแบบ (Format)

1

          3. คลิกเลือก ตำแหน่ง (Position) แล้วเลือกทิศทางการจัดวางภาพตามที่กำหนด

2

          4. ภาพที่เลือกก็จะถูกจัดวางในรูปแบบที่กำหนด

3

 

วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ผู้จัดทำ

บุษยมาศ  ขอดคำ
เลขที่25
ชันมัธยมศึกษาปีที่2/1
โรงเรียนชุมชนบ้านพุเตย
ชื่อเล่น  แนน
กีฬาที่ชอบ  วอลเลย์
ชอบสี   ม่วง
อาหารที่ชอบ  สลัดผักผลไม้
ผลไม้ที่ชอบ  สาลี้
เกิดวันที่ 10 มิถุนายน 2542
ยามว่าง  ฟังเพลง 
ชอบวิชา  สังคม
สัตว์เลี้ยงที่ชอบ  กระรอก  
เพลงที่ชอบ  คิดมาก  ( ปาล์มมี่ )
คติประจำใจ  ทำวันนี้ ให้ดีที่สุด

บุษยมาศ ขอดคำ

วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

บุษยมาศ  ขอดคำ
เลขที่25
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/1
โรงเรียนชุมชนบ้านพุเตย